Sunday, February 22, 2015

พ่อหนู

การที่หลวงพ่อมาพำนักในป่าพงนั้น สร้างความยินดีให้แก่หมู่ญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ เลื่อมใสศรัทธามาก แต่ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสต่อต้านจากชาวบ้านบางส่วนเหมือนกัน จึงมี ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นเสมอ

            วันหนึ่ง ชาวบ้านบางคนไปพูดใส่ร้ายหลวงพ่อว่า "เป็นพระหวงน้ำ" ไม่ยอมให้ชาวบ้าน เอาถังลงตักน้ำในบ่อ พอดีเรื่องนี้รู้ไปถึงพ่อหนู ผู้นิยมประคารมกับพระ และเคยมาฟังธรรมจาก หลวงพ่อหลายครั้ง แต่ก็ยังคิดและพูดโต้แย้งอยู่เสมอ

            วันนั้น เมื่อมีคนมาพูดเรื่องหลวงพ่อหวงน้ำให้ฟัง พ่อหนูโกรธมากจึงกล่าวกับเพื่อน "พระอะไร? แค่น้ำในบ่อก็หวง ถึงขนาดไม่ยอมให้ตัก ทีข้าวชาวบ้านล่ะ ทำไมมาบิณฑบาตเอาของเขา ไปทุกวัน... ยังงี้ไม่ได้ ๆ ทำไม่ดีอย่างนี้ จะต้องไปถามดู ถ้าเป็นความจริง จะนิมนต์ให้หนีไปอยู่ที่อื่น" ว่าแล้วก็ผลุนผลัน เดินตรงไปวัดหนองป่าพง

พอมาถึงวัดก็เข้าไปหาหลวงพ่อ แล้วคาดคั้นเอาความจริง หลวงพ่อจึงอธิบายให้ฟัง

            "ที่ไม่ให้ตักน้ำในบ่อ ก็เพราะว่า ชาวบ้านชอบเอาถังที่ขังกบ ขังปลามาตักน้ำ ทำให้น้ำ สกปรก ถ้าใช้ถังสะอาด ๆ ก็จะไม่ว่าอะไร จึงต้องเขียนป้ายติดไว้ว่า บ่อน้ำนี้สำหรับพระ ห้ามโยมใช้ แต่อาตมาก็ได้ตักน้ำใส่โอ่งไว้ให้ชาวบ้านได้ดื่มได้ใช้แยกไว้ต่างหากด้วย ไม่ใช่จะห้ามกัน อย่างเดียว"

            พ่อหนูรู้ความจริงเช่นนั้น ก็คลายความไม่พอใจลงบ้าง แต่ก็ยังไม่เคารพศรัทธาในตัวหลวงพ่อนัก

            หลังจากสนทนากันไปหลายเรื่อง หลวงพ่อได้บอกพ่อหนูว่า "มีอะไรก็ให้พูดอย่างเปิดอก ไม่ต้องเกรงใจ จะได้รู้เรื่องกันสักที"

            "ถ้าผมพูดอย่างเปิดอก เกรงว่าหลวงพ่อจะโกรธผม เพราะคำพูดของผมมันไม่เหมือน คนอื่นเขา" พ่อหนูออกตัว

เมื่อหลวงพ่อเปิดทางให้ พ่อหนูซึ่งรอโอกาสนี้มานานแล้ว จึงนึกในใจว่า... เมื่อท่านรับรอง เช่นนี้ หากเราพูดแรง ๆ ไป ถ้าท่านโกรธเราจะต่อว่าให้สาสมเลยว่า พระกรรมฐานอะไร ช่างไม่มี ความอดทนเสียเลย แล้วพ่อหนูก็เริ่มระบายความเห็นออกมา...

            "หลวงพ่อเคยพูดว่า ผมเป็นคนหลงผิด แต่ผมว่า หลวงพ่อนั่นแหละหลงผิดมากกว่า เพราะศาสนาทุกศาสนาไม่มีจริง เป็นเรื่องที่คนแต่งขึ้น สมมุติขึ้น เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อตาม และของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็มีแต่ของสมมุติทั้งนั้น เช่น ควาย นี่เราก็สมมุติชื่อให้มัน ถ้าเราจะเรียกมันว่าหมูก็ได้ ควายก็ไม่ว่าอะไร... คน สัตว์ สิ่งของทุกอย่างก็สมมุติเอาทั้งนั้น แม้แต่ศาสนาก็เป็นเรื่องสมมุติเหมือนกัน ทำไมหลวงพ่อจะต้องกลัวบาปกรรม จนต้องหนีเข้าป่าเข้าดง ไปทรมานร่างกาย ให้ลำบากเปล่า ๆ

            ผมไม่เชื่อเลยว่า บาปบุญ มีจริง ๆ เป็นเรื่องหลอกเด็กมากกว่า กลับไปอยู่วัดตามบ้านตาม เมืองเหมือนพระอื่น ๆ เสียเถอะ หรือทางที่ดีก็ควรสึกออกมาซะ จะได้รับความสุขและรู้รสกาม ดีกว่าอยู่อย่างทรมานตัวเองอย่างนี้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร"

            พ่อหนูสรุปแนวความคิดของตน แล้วถามหลวงพ่อ "ผมคิดของผมอย่างนี้... หลวงพ่อล่ะ มีความเห็นอย่างไร?"

           หลังจากปล่อยให้พ่อหนูพูดจนสมใจแล้ว หลวงพ่อซึ่งนั่งนิ่งรับฟังอยู่นาน จึงกล่าวขึ้น "คนที่คิดอย่างโยมนี้ พระพุทธเจ้าท่านทิ้ง โปรดไม่ได้หรอก เหมือนบัวใต้ตม... ถ้าโยมหนูไม่เชื่อว่า บาปมีจริง ทำไมไม่ทดลองไปลักไปปล้น หรือไปฆ่าเขาดูเล่า จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร"

            "อ้าว..! จะให้ผมไปฆ่าเขาได้อย่างไร เดี๋ยวญาติพี่น้องเขาก็ตามล่าผม หรือไม่ก็ติดคุกนะซิ"

            "นั่นแหละผลของบาปรู้ไหม"

            พ่อหนูชักลังเล เมื่อเจอเหตุผลอย่างนี้ แต่ยังกล่าวแบบไว้เชิงว่า... "บางทีบาปอาจจะมีจริง ก็ได้ แต่บุญล่ะ... หลวงพ่อมาอยู่ป่าทรมานตัวเองอย่างนี้ ไม่เห็นว่าจะเป็นบุญตรงไหนเลย?"

            "โยมหนูจะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่อาตมาจะเปรียบเทียบให้ฟัง ที่อาตมาประพฤติตาม พระธรรมวินัยอยู่เช่นนี้ ถ้าบาปไม่มี บุญไม่มี.. ก็เสมอทุน แต่ถ้าบาปมี บุญมี อาตมาจะได้กำไร.. คนหนึ่งเสมอตัวหรืออาจได้กำไร กับคนที่มีแต่ทางขาดทุน ใครจะดีกว่ากัน"

            พ่อหนูเริ่มคล้อยตามบ้าง จึงเผยความนึกคิดแท้จริงของตนเองออกมา... "ไอ้เรื่องบาปเรื่องบุญนี้ ผมคิดจนปวดศีรษะมานานแล้ว จะเชื่อก็ยังไม่แน่ใจ ไปถามพระรูปไหน ก็พูดให้ผมเข้าใจ ไม่ได้ แต่ที่หลวงพ่ออ้างเหตุผลมานี่ ผมก็พอจะรับได้บ้าง แต่ถ้าบาปบุญไม่มีจริง หลวงพ่อจะให้ผม ทำอย่างไร?"

            "ทำยังไงก็ได้" หลวงพ่อตอบ

            "ถ้าบาปไม่มีจริง ผมตายไป ผมจะมาไล่เตะท่านนะ ?"

            "ได้! แต่ข้อสำคัญ โยมหนูต้องละบาป แล้วมาบำเพ็ญบุญจริง ๆ จึงจะรู้ได้ว่าบาปบุญมีจริงหรือไม่?"

            "ถ้าอย่างนั้น หลวงพ่อเทศน์โปรดผมด้วย... ผมจะได้รู้จักวิธีทำบุญ"

            "คนเห็นผิดอย่างโยมนี้ โปรดไม่ได้หรอก เสียเวลาเปล่า ๆ" เมื่อถูกหลวงพ่อเหน็บเอาเช่นนี้ พ่อหนูผู้มากด้วยปฏิภาณและโวหาร จึงย้อนกลับไปว่า

            "คนในโลกนี้ ใครมีปัญญาและวิชาความรู้เลิศกว่าเขาทั้งหมด... พระพุทธเจ้าใช่ไหม... ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศจริง... หลวงพ่อก็เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า... ส่วนผมเป็นศิษย์พระยามาร เมื่อ เทศน์โปรดผมไม่ได้ ก็โง่กว่าพระยามารซี่"

            "ถ้าโยมอยากต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็ขอให้ตั้งใจฟัง จะให้ธรรมะไปคิดพิจารณา แล้วทดลอง ปฏิบัติตามดู จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ให้ทำดูก่อน เรื่องศาสนาที่พระสงฆ์เคยสอนมา โยมไม่เชื่อ ใช่ไหม?"

            "ใช่... ผมไม่อยากเชื่อใครเลย นอกจากตัวเอง"

            "ถ้าไม่เชื่อคนอื่นแล้ว ก็ไม่ต้องเชื่อตนเองด้วย" หลวงพ่อยกข้อเปรียบเทียบ

"โยมเป็นช่างไม้ ใช่ไหม..? เคยตัดไม้ผิดหรือเปล่า?"

            "เคยครับ"

            "เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกัน โยมเคยคิดถูก ทำถูก หรือว่าคิดผิด มาใช่ไหม?"

            "ใช่... ทำถูกก็มี ทำผิดก็เคย" พ่อหนูยอมรับ

            "ถ้าอย่างนั้น ตัวเราเองก็ยังเชื่อไม่ได้ เพราะมันพาทำผิด พูดผิด คิดผิดได้เหมือนกัน..."
            พ่อหนูรู้สึกพอใจต่อเหตุผลของหลวงพ่อบ้าง จึงขอคำแนะนำว่า "ผมควรจะประพฤติตนอย่างไรดี?"

            "อย่าเป็นคนคิดสงสัยมาก และอย่าพูดมากด้วย" หลวงพ่อตอบสั้น ๆ

           หลังจากนั้น พ่อหนูจะไปอยู่ที่ไหน คำพูดของหลวงพ่อติดหู ติดใจ ตามไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่พยายามไม่ให้ใจคิด แต่ก็ยังคิด เมื่อคิดๆ ไป ก็ยิ่งเห็นจริงตามคำสอนของหลวงพ่อ และของ พระพุทธเจ้ามากขึ้นทุกที พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีทางคัดค้านได้เลย

            ต่อมา พ่อหนูจึงคลายพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ทิ้งนิสัยหัวรั้นหัวแข็ง เข้ามาฝากตัวเป็น ลูกศิษย์ของหลวงพ่อและของพระพุทธเจ้ามากขึ้น แล้วรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งฝึก ปฏิบัติภาวนา จนกลายเป็นพ่อหนูคนใหม่ ที่มีอัธยาศัยดี ช่วยกิจการงานวัดอย่างแข็งขัน ด้วย ความจริงใจตลอดมา

นอกจากปัญหาของพ่อหนูแล้ว ก็มีเหตุการณ์ไม่ดีหลายอย่าง ที่หลวงพ่อต้องใช้ความ อดทน และปัญญา รวมทั้งใช้สันติวิธีเข้าแก้ปัญหา

            ชาวบ้านบางกลุ่มโลภจัด พยายามจะบุกรุกเข้าครอบครองป่าพงเป็นที่ทำกิน แต่เมื่อมีพระ พำนักอยู่ ก็ทำอะไรได้ไม่สะดวก จึงวางแผนขับไล่ โดยจะใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือ ชาวบ้านบางคน รู้ข่าว จึงมากราบเรียนหลวงพ่อ

            "หลวงพ่อ อย่าให้พระไปบิณฑบาตบ้านนั้นองค์เดียวนะ มีคนเขาจะให้สาว ๆ มาดักกอด แล้วให้ร้องว่า ถูกพระข่มขืน"

            หลวงพ่อบอกกับโยมคนนั้นอย่างอารมณ์ดีว่า"เออ... ให้ผู้หญิงกอดสักทีก็ดีเหมือนกัน" ท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านนั้นแทนพระรูปที่ไปประจำ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวค่อย ๆ เงียบหายไป

บางวันมีคนขี้เกียจมักง่าย เมื่อเห็นผักผลไม้ในวัดเกิดอยากได้ แต่ไม่อยากปลูกเอง ตอน แรก ๆ ทำทีเข้ามาขอ แต่หลายครั้งชักอายจึงใช้วิธีแอบมาขโมย หลวงพ่อใช้อุบายจับตัวขโมยมาได้ แล้วอบรมสั่งสอน

            "คราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีกนะ มะละกอนี้ เอาไปกินก็ได้แค่วันสองวันแค่นั้นแหละ ถ้าเรา ขยันปลูกเอาเอง จะได้กินตลอดไป ต้องพยายามทำมาหากินด้วยความสุจริต จะได้ไม่เดือดร้อน และจะได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานด้วย"

ต่อมา ชาวบ้านแอบเอาสุนัขและแมวมาปล่อยในวัด พอรู้ตัวเจ้าของ หลวงพ่อเชิญเขามา ที่วัด แล้วชี้แจงเหตุผลให้ฟัง...

            "ที่วัดของเรามีกระรอก กระแต มีไก่ป่า และสัตว์หลายอย่าง อาตมาอยากสงวนเอาไว้ เพื่อ ลูกหลานเขาจะได้ดูได้เห็นบ้าง ถ้าไม่ทำอย่างนั้น มันก็จะสูญพันธุ์ไป แล้วจะเหลืออะไรไว้ให้พวก เขา พวกหมาพวกแมวที่โยมเอามาทิ้งที่นี่ หากปล่อยไว้ มันก็จะกัดกินสัตว์ป่าตายหมด ขอให้พวก เราเอามันกลับคืนไปซะ แล้วมาช่วยกันรักษาสัตว์ป่าเอาไว้"

            ส่วนทางด้านฝ่ายพระสงฆ์สำนักอื่น ในสมัยนั้นยังมีความเข้าใจผิดต่อพระที่ดงป่าพงด้วย เหมือนกัน ถึงขนาดบอกให้ชาวบ้าน เอาขี้วัวแห้งกับเถาวัลย์ใส่บาตรให้หลวงพ่อ แต่ท่านไม่โต้ตอบ โดยยึดหลักว่า "เขาเกลียด ให้ทำดีตอบแทนเขา" พอถึงฤดูเข้าพรรษา หลวงพ่อก็พาพระเณรไป กราบคารวะ หรือหากมีสิ่งของเครื่องใช้ ก็นำไปถวายแก่พระเหล่านั้นด้วย ต่อมาเหตุร้ายต่างๆ นั้น ได้คลี่คลายไปในทางที่ดี

ที่มา: หนังสือ "ใต้ร่มโพธิญาณ"
ชีวประวัติ หลวงปู่ชา สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

No comments:

Post a Comment